วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ผลไม้ที่ชอบ

เสาวรส

เสาวรส ชื่อสามัญ Passion Fruit, Jamaica honey-suckle, Yellow granadilla
เสาวรส ชื่อวิทยาศาสตร์ Passiflora edulis Sims จัดอยู่ในวงศ์กะทกรก (PASSIFLORACEAE)
เสาวรส  (กะทกรกฝรั่ง หรือ กะทกรกสีดา หรือ กะทกรกยักษ์)เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดในแถบทวีปอเมริกาใต้ ผลมีลักษณะกลม ผลอ่อนจะมีสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะมีหลายสีแล้วแต่สายพันธุ์ คือ สีม่วง สีเหลือง สีส้ม ซึ่งในบ้านเรานี้จะปลูกทั้ง 3 สายพันธุ์ โดยในผลเสาวรสนั้นจะมีเมล็ดจำนวนมาก มีกลิ่นคล้ายฝรั่งสุก รสออกเปรี้ยวจัด แต่บางสายพันธุ์จะมีรสออกอมหวานด้วย
สำหรับประโยชน์ของเสาวรสและสรรพคุณของเสาวรสนั้นก็มีมากมายหลายข้อ เพราะเสาวรสอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุรวมอยู่หลายชนิด ซึ่งได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 กรดโฟลิก ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุสังกะสี และคาร์โบไฮเดรต โดยยังมีของแถมนั่นก็คือใยอาหารในปริมาณสูงรวมอยู่ด้วย ซึ่งนิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้สด โดยเสาวรสที่ลักษณะดีนั้นต้องไม่เหี่ยว ผิวต้องเต่งตึง แต่ทั้งนี้ห้ามรับประทานในส่วนของต้นสดเด็ดขาด เพราะมีสารพิษอันตราย อาจทำให้เสียชีวิตได้ รอรับประทานผลอย่างเดียวจะดีกว่า 

การใช้ประโยชน์[แก้]


ไวน์หรือ 'sicar' ทำจากเสาวรสในอิสราเอล
ผลสุกของเสาวรสนำมาทำน้ำผลไม้และไวน์ หรือเติมลงในน้ำผลไม้ชนิดอื่นเพื่อเพิ่มกลิ่น[3]ในทวีปอเมริกาใต้รับประทานเปลือกของเสาวรสสุก หรือนำไปปั่นรวมกับน้ำตาลและน้ำเสาวรสเป็นเครื่องดื่มที่เรียก Refresco นำเนื้อเสาวรสไปทำขนมได้หลายชนิดทั้งเค้ก ไอศกรีม แยม เยลลียอดเสาวรสนำไปแกงหรือกินกับบบน้ำพริกลล เมล็ดนำไปสกัดน้ำมันพืช ทำเนยเทียม เปลือกนำไปสกัดสารเพกทินหรือนำมาตากแห้งเป็นอาหารสัตว์ เปลือกเสาวรสที่อ่อนบางพันธุ์มีสารประกอบไซยาไนต์เล็กน้อยโดยเฉพาะผลสีม่วง แต่เมื่อนำเปลือกมาทำแยมด้วยความร้อนสูง สารประกอบไซยาไนต์จะหายไป [4] การใช้ประโยชน์ในประเทศต่างๆมีดังนี้
  • บราซิล มูสเสาวรสเป็นของหวานที่พบได้ทั่วไป เมล็ดเสาวรสนิยมใช้แต่งหน้าเค้ก ในการปรุงCaipirinha นิยมใช้เสาวรสแทนมะนาว
  • โคลอมเบีย เป็นผลไม้ที่สำคัญในการทำน้ำผลไม้และขนม เรียกเสาวรสว่า "Maracuyá"
  • สาธารณรัฐโดมินิกันเรียกเสาวรสว่า chinola ใช้ทำน้ำผลไม้และใช้แต่งรสไซรับ กินเป็นผลไม้สดกับน้ำตาล
  • ฮาวาย ทั้งเสาวรสสีม่วงและสีเหลืองใช้กินเป็นผลไม้ น้ำเชื่อมรสเสาวรสใช้แต่งหน้าน้ำแข็ง ไอศกรีม และใช้เป็นส่วนผสมในเค้ก คุกกี้ แยม เยลลี่ เนย
  • อินโดนีเซีย มีเสาวรสสองชนิด คือชนิดสีขาวกับสีเหลือง สีขาวกินเป็นผลไม้ สีเหลืองใช้ทำน้ำผลไม้ และเคียวกับน้ำตาลเป็นไซรับ
  • นิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลีย นิยมกินผลสดเป็นอาหารเช้าในช่วงฤดูร้อน เช่นทำฟรุตสลัด เสาวรสใช้ทำขนมหลายอย่าง เช่นแต่งหน้าเค้ก pavlova ไอศกรีม ใช้แต่งรสชีสเค้ก และมีน้ำอัดลมรสเสาวรสในออสเตรเลีย
  • ปารากวัย ใช้ทำน้ำผลไม้ ใช้ผสมในเค้กมูส ชีสเค้ก ใช้แต่งรสโยเกิร์ตและคอกเทล
  • เม็กซิโก ใช้ทำน้ำผลไม้หรือรับประทานผลกับพริกป่นและน้ำเลมอน
  • เปอร์โตริโก เรียกเสาวรสว่า "Parcha" นิยมใช้เป็นยาลดความดัน[5] ใช้ทำน้ำผลไม้ ไอศกรีมหรือเพสตรี
  • เปรูใช้เสาวรสทำขนมหลายชนิดรวมทั้งชีสเค้ก ใช้ทำน้ำผลไม้ ผสมใน ceviche และคอกเทล
  • ฟิลิปปินส์รับประทานเป็นผลไม้ มีขายทั่วไปแต่ไม่เป็นที่นิยมมาก
  • แอฟริกาใต้ เสาวรสรู้จักกันในชื่อ Granadilla ใช้แต่งรสโยเกิร์ต น้ำอัดลม กินเป็นผลไม้หรือใช้แต่งหน้าเค้ก
  • ศรีลังกา นิยมดื่มน้ำเสาวรสเป็นน้ำผลไม้ [6]
  • สหรัฐอเมริกา ใช้ผสมในน้ำผลไม้ผสม
  • เวียดนาม รับประทานเสาวรสปั่นกับน้ำผึ้งและน้ำแข็ง

การกระจายพันธุ์[แก้]

มีการปลูกเสาวรสทางการค้าในหลายประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา นิวซีแลนด์ ประเทศแถบทะเลแคริบเบียน บราซิล โคลอมเบีย โบลิเวียเอกวาดอร์ อินโดนีเซีย เปรู เปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แอฟริกาตะวันออก เม็กซิโก อิสราเอลคอสตาริกา แอฟริกาใต้และโปรตุเกส ในประเทศไทยมีเสาวรสที่ปลูกทั่วไป 3 พันธุ์คือ พันธุ์สีม่วง เมื่อสุกเปลือกสีม่วง เนื้อในสีเหลือง รสอมหวานมากกว่าพันธุ์อื่นๆ แต่ไม่ค่อยต้านทานโรคในเขตร้อน พันธุ์สีเหลืองหรือเสาวรสสีทอง ผลแก่สีเหลือง รสเปรี้ยวมาก นิยมปลูกในเขตร้อน พันธุ์ผสม เมื่อสุกเป็นสีม่วงอมแดง รสเปรี้ยวจัด กลิ่นแรง สามารถปักชำและเสียบยอดได้

การผสมเกสร[แก้]

การผสมเกสรนั้นจะใช้แมลงภู่เพื่อการผสมเกสรในเชิงการค้าในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย และส่วนอื่น ๆ ของ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจาก นี้ ดอกเสาวรส (Passiflora edulis flavicarpa) ถูกค้นพบว่าบานสัมพันธ์กันกับช่วงที่แมลงภู่กำลังแพร่หลาย แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดนี้วิวัฒนาการมาอย่างสัมพันธ์กัน[2]

ประโยชน์ของเสาวรส

    เสาวรส
  1. เสาวรส ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
  2. ช่วยในการชะลอวัย ชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
  4. ช่วยในการบำรุงสายตา เนื่องจากมีวิตามินเอรวมอยู่ด้วย
  5. น้ำเสาวรสช่วยให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
  6. น้ำเสาวรสช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
  7. มีวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
  8. มีแคลเซียมซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกเสื่อมและกระดูกหัก
  9. มีโพแทสเซียมสูง ช่วยให้มีสติปัญญา จิตใจร่าเริงแจ่มใส ด้วยการส่งออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมอง
  10. มีแมกนีเซียม ซึ่งช่วยในการเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน
  11. มีฟอสฟอรัสสูง ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง
  12. นิยมนำมาดื่มเป็นน้ำผลไม้หรือใช้เป็นส่วนผสมในน้ำผลไม้รวม
  13. ใช้ทำเป็นน้ำผลไม้ปั่น สำหรับวิธีทำน้ําเสาวรส อย่างแรกให้เตรียมเสาวรสที่สุกแล้ว 3 ลูก / น้ำเชื่อมครึ่งถ้วย / เกลือป่นหนึ่งช้อนโต๊ะ / น้ำต้มสุกแช่เย็นหนึ่งถ้วย หลังจากนั้นนำเสาวรสไปล้างให้สะอาดทั้งเปลือก แล้วนำมาผ่าครึ่งตามขวาง แล้วนำช้อนตักเมล็ดเนื้อเสาวรสและน้ำออกให้หมด แล้วนำมาปั่นกับน้ำต้มสุกจนละเอียด แล้วกรองกากและเมล็ดออกด้วยการใช้ผ้าขาวบางหรือกระชอน หลังจากนั้นนำน้ำเสาวรสที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในเครื่องปั่น ใส่น้ำเชื่อม เกลือป่น น้ำแข็งตามลงไปปั่น เสร็จแล้วก็จะได้น้ำเสาวรสฝีมือของเราแล้ว
  14. นำมาใช้แต่งกลิ่นหรือรสชาติในโยเกิร์ต น้ำอัดลม เป็นต้น
  15. เนื้อเสาวรสนำไปทำขนมได้หลายชนิด เช่น เค้ก แยม เยลลี ไอศกรีม เป็นต้น
  1. ใช้นำไปประกอบของหวาน เช่น นำเมล็ดเสาวรสมาใช้แต่งหน้าเค้ก
  2. ใช้นำมาประกอบอาหาร เช่น การนำยอดเสาวรสไปแกงหรือกินกับน้ำพริก
  3. เมล็ดของเสาวรสสามารถนำไปสกัดเป็นน้ำมันพืชได้
  4. ใช้ทำเนยเทียมจากเมล็ดเสาวรส
  5. ใช้เป็นอาหารสัตว์ ด้วยการนำเปลือกไปสกัดสารเพกทินหรือนำมาตากแห้ง
  6. เปลือกเสาวรสสามารถนำมาใช้ทำปุ๋ยหมักได้
  7. ใช้ทำเป็นน้ำมันนวดผ่อนคลาย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการช่วยผ่อนคลายได้ดี
  8. ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิด เช่น ผลิตภัณฑ์กันแดด ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์รักษาสิว เป็นต้น
  9. ช่วยในการสมานผิว รักษาเนื้อเยื่อผิวหนัง
  10. ช่วยปรับสมดุลในร่างกายและลดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
  11. ที่เปอร์โตริโก นิยมนำเสาวรสมาใช้ในการลดความดันโลหิต
  12. ช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  13. ช่วยในการฟื้นฟูตับและไตให้มีสุขภาพแข็งแรง
  14. ช่วยในการกำจัดสารพิษในเลือด
  15. ช่วยบรรเทาอาการปวด
  16. ช่วยในการบำรุงปอด
  17. ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
  18. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  19. ช่วยรักษาอาการหอบหืด
  20. ใบสดนำมาใช้พอกแก้หิดได้
  21. ดอกใช้ขับเสมหะ ช่วยแก้ไอได้
  22. เมล็ดมีสารที่ทำหน้ายับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ดี
เสาวรส

การรักษาที่อาจได้ผล
โรควิตกกังวล การศึกษาบางส่วนพบหลักฐานระบุว่าเสาวรสอาจช่วยบรรเทาโรควิตกกังวล โดยเพิ่มสารสื่อประสาทในสมองที่เรียกว่า กรดแกมมาอะมิโนบิวทีริกหรือกาบา (Gamma-Aminobutyric Acid: GABA) ซึ่งจะลดการทำงานของสมองให้น้อยลง จึงอาจช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ระงับอาการวิตกกังวล และนอนหลับได้ดีขึ้น
จากการศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากเสาวรสเปรียบเทียบกับยาออกซาซีแพม (Ooxazepam) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาอาการวิตกกังวลและคลายเครียดในผู้ป่วยโรคกังวลทั่วไป จำนวน 36 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้รับสารสกัดจากเสาวรส 45 หยดต่อวันควบคู่กับยาหลอกชนิดเม็ด และอีกกลุ่มได้รับยาออกซาซีแพม 30 มิลลิกรัมต่อวันควบคู่กับยาหลอก 45 หยดต่อวัน ผลปรากฏว่า ทั้ง 2 กลุ่มให้ผลดีต่อการรักษาเช่นเดียวกันและไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ กลุ่มที่ได้รับยาออกซาซีแพมอาจให้ผลการรักษาที่รวดเร็วกว่า แต่มักเกิดผลข้างเคียงมากตามมา การศึกษาชี้ว่าสารสกัดจากเสาวรสน่าจะมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับยาออกซาซีแพม และอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคกังวลทั่วไป แต่กลุ่มการทดลองในครั้งนี้ค่อนข้างน้อย ควรทำการศึกษาในกลุ่มการทดลองที่ใหญ่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยอีกชิ้นที่ศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากเสาวรสเปรียบเทียบกับยาหลอกในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัด 60 คน กลับให้ผลในทางตรงกันข้าม โดยให้กลุ่มแรกรับประทานสารสกัดจากเสาวรส 500 มิลลิกรัม และอีกกลุ่มรับประทานยาหลอก ซึ่งการวัดผลจะทำก่อนการทดลองและวัดอีกครั้งหลังรับประทานสารสกัดหรือยาในช่วง 10 นาที 30 นาที 60 นาที และ 90 นาทีถัดมา เพื่อดูฤทธิ์ของสารสกัดจากเสาวรสและความวิตกกังวลในผู้ป่วย ผลพบว่าทั้ง 2 กลุ่มมีผลลัพธ์ในด้านต่าง ๆ คล้ายคลึงกันก่อนเข้ารับการผ่าตัด กลุ่มที่รับประทานสารสกัดจากเสาวรสมีคะแนนด้านความกังวลต่ำกว่ากลุ่มที่รับประทานยาหลอก แต่ไม่พบความแตกต่างในด้านจิตใจอย่างมีนัยสำคัญหลังการผ่าตัด จึงอาจบอกได้ว่าสารสกัดจากเสาวรสอาจไม่ช่วยระงับความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดจากการศึกษาในครั้งนี้
ถอนพิษยาในกลุ่มโอปิเอต (Opiates) โดยปกติแล้วยาโคลนิดีน (Clonidine) ใช้เป็นยารักษาหลักสำหรับถอนพิษหรือบรรเทาอาการของผู้ป่วยที่เกิดจากการขาดยาในกลุ่มโอปิเอตหรือยาแก้ปวดที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย แต่ด้วยข้อจำกัดบางประการและขาดประสิทธิภาพในการควบคุมอาการทางจิตของยาโคลนิดีน จึงมีการค้นคว้าหาวิธีการรักษาใหม่ที่อาจเป็นประโยชน์มากกว่า ซึ่งสารสกัดจากเสาวรสเชื่อกันว่าออกฤทธิ์ต่อสมองและช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวล จึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับใช้บรรเทาอาการของผู้ป่วยที่มีอาการขาดยากลุ่มโอปิเอต
จากการศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากเสาวรสในการรักษาเสริมแก่ผู้ป่วยที่เสพติดยากลุ่มโอปิเอต จำนวน 65 คน เป็นระยะเวลา 14 วัน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับยาโคลนิดีนสูงสุดไม่เกิน 0.8 มิลลิกรัม เสริมด้วยสารสกัดจากเสาวรส จำนวน 60 หยด และอีกกลุ่มได้รับยาโคลนิดีนสูงสุดไม่เกิน 0.8 มิลลิกรัมเช่นกัน เสริมด้วยยาหลอก ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มแบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้ง จากนั้นวัดผลก่อนการได้รับยา วันที่ 1, 2, 3, 4, 7 และวันที่ 14  ผลพบว่าผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มมีอาการแสดงออกทางร่างกายดีขึ้นเหมือนกัน แต่กลุ่มที่ได้รับยาโคลนิดีนควบคู่กับสารสกัดจากเสาวรสมีประสิทธิภาพในบรรเทาอาการทางจิตได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาโคลนิดีนควบคู่กับยาหลอก จึงคาดว่าสารสกัดจากเสาวรสอาจนำมาใช้เป็นการรักษาเสริมในผู้ป่วยที่มีขาดยากลุ่มโอปิเอต ทั้งนี้ กลุ่มผู้ป่วยมีจำนวนน้อยและควรศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ป่วยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยยืนยันผลการรักษาให้แน่ชัด
บรรเทาอาการของโรคทางจิตเวช จัดเป็นกลุ่มโรคใหญ่ที่ประกอบไปด้วยหลายโรค ส่วนใหญ่มักจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และการกระทำ ซึ่งต้องรักษาด้วยการใช้ยาและการบำบัดไปพร้อมกัน แต่การรักษาแผนปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงถึงประสิทธิภาพในการรักษาและความปลอดภัย ทำให้เกิดการแพทย์แผนทางเลือกอื่น ๆ ขึ้นมา รวมถึงการใช้สารสกัดจากเสาวรส
จากการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสารสกัดจากเสาวรสร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นในเด็กอายุ 6-12 ปี จำนวน 115 ที่มีอาการทางจิตเวช เช่น สับสน กระสับกระส่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า ขาดสมาธิ และถูกกระตุ้นได้ง่าย โดยใช้วิธีสังเกตอาการเป็นระยะเวลา 2 ปี ผลพบว่า จากการประเมินของผู้ปกครองระบุว่าเด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสนใจ การเข้าสังคม ภาวะกังวลหรือซึมเศร้า เป็นต้น สำหรับการประเมินโดยแพทย์ลงความเห็นว่าเด็กประมาณ 81.6-93.9% ไม่มีอาการของโรคหรือมีอาการเล็กน้อย จึงคาดว่าสารสกัดจากเสาวรสก็อาจเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นการรักษาเสริมในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคทางจิตเวช

การศึกษาที่ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอต่อการบ่งบอกประสิทธิภาพ
โรคนอนไม่หลับ ด้วยคุณสมบัติทางยาของเสาวรสที่เชื่อว่าช่วยให้รู้สึกสงบ ลดความวิตกกังวล นอนหลับได้ง่ายขึ้น และยังมีผลการทดลองในสัตว์อีกหลายชิ้นที่ระบุว่าอาจมีส่วนช่วยบรรเทาความผิดปกติด้านการนอน ซึ่งจากการศึกษาประสิทธิภาพของชาเสาวรสต่อการนอนในอาสาสมัคร อายุ 18-35 ปี จำนวน 41 คนเป็นระยะเวลา 7 วัน โดยให้ดื่มชาเสาวรสวันละ 1 แก้ว เปรียบเทียบกับยาหลอกในรูปแบบชา จากนั้นมีการตรวจสุขภาพการนอนหลับ ผลพบว่า อาสาสมัครจำนวน 10 คน นอนหลับดีขึ้นและมีคะแนนในการประเมินด้านต่าง ๆ สูงกว่ายาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษานี้แนะนำว่า การดื่มชาเสาวรสที่มีความเข้มข้นไม่มากในระยะเวลาสั้น ๆ อาจช่วยให้ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงนอนหลับได้ง่ายขึ้นและมีคุณภาพในการนอนดีขึ้น แต่ควรมีการศึกษาหรือค้นคว้าเพิ่มเติม เนื่องจากกลุ่มการทดลองในการศึกษาครั้งนี้มีขนาดเล็ก
โรคหอบหืด เสาวรสเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง จึงอาจเป็นผลดีต่อการรักษาและบรรเทาอาการโรคหอบหืด
จากการศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากเปลือกของผลเสาวรสพันธุ์สีม่วงในผู้ป่วยโรคหอบหืดโดยให้รับประทานสารสกัดวันละ 150 มิลลิกรัมต่อวัน เปรียบเทียบกับยาหลอก เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ จากนั้นจึงวัดผลโดยดูจากอาการของผู้ป่วยและการตรวจสมรรถภาพปอด ผลพบว่า ผู้ป่วยในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากเปลือกของผลเสาวรสมีอาการส่วนใหญ่ของโรคลดลงในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับก่อนการทดลอง โดยความถี่ของอาการไอและหายใจหอบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานยาหลอกไม่มีอาการดีขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสมรรถภาพปอดที่เป็นตัวบ่งบอกความรุนแรงของโรคกลับไม่พบการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากเปลือกของผลเสาวรส นอกจากนี้ ยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงจากการศึกษา จึงพอจะคาดเดาได้ว่าสารสกัดจากเสาวรสค่อนข้างปลอดภัยและช่วยบรรเทาอาการจากโรค ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ต้องการรับประทานสารสกัดจากเปลือกของผลเสาวรสควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง และไม่ควรหยุดรับประทานยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะยังเป็นเพียงเป็นทางเลือกในการรักษาที่ยังไม่สามารถสรุปผลได้อย่างชัดเจน
ความปลอดภัยในการรับประทานเสาวรส
การรับประทานเสาวรสในปริมาณปกติที่พบจากในอาหารค่อนข้างมีความปลอดภัย สำหรับการรับประทานในรูปแบบอื่นอย่างชาหรือมีวัตถุประสงค์เพื่อการรักษาโรคควรใช้ติดต่อกันน้อยกว่า 2 เดือน ทั้งนี้ ยังมีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้
  • การรับประทานเสาวรสอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ รู้สึกสับสน กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป หลอดเลือดอักเสบ บางรายพบรายงานว่ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ
  • การใช้เสาวรสกับผิวหนังยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัย ก่อนการใช้จึงควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
  • หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานเสาวรส เนื่องจากสารเคมีบางตัวในเสาวรสอาจทำให้มดลูกหดตัว
  • ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงในการรับประทานเสาวรส เพราะยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยเพียงพอหรือหากต้องการรับประทานควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานเสาวรสอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากเสาวรสอาจมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งอาจไประงับฤทธิ์ยาสลบหรือยาตัวอื่นต่อสมองในช่วงผ่าตัดและหลังจากผ่าตัด

คุณค่าทางโภชนาการของเสาวรสต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 97 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 23.38 กรัม
  • น้ำตาล 11.2 กรัม
  • เส้นใย 10.4 กรัม
  • ไขมัน 0.7 กรัม
  • โปรตีน 2.2 กรัม
  • วิตามินเอ 64 ไมโครกรัม 8%
  • เบตาแคโรทีน 734 ไมโครกรัม 7%
  • วิตามินบี 2 0.13 มิลลิกรัม 11%
  • วิตามินบี 3 1.5 มิลลิกรัม 10%
  • วิตามินบี 6 0.1 มิลลิกรัม 8%
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม 4%
  • โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินซี 30 มิลลิกรัม 36%
  • วิตามินเค 0.7 ไมโครกรัม 1%
  • ธาตุแคลเซียม 12 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุเหล็ก 1.6 มิลลิกรัม 12%
  • ธาตุแมกนีเซียม 29 มิลลิกรัม 8%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 68 มิลลิกรัม 10%
  • โพแทสเซียม 348 มิลลิกรัม 7%
  • ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม 1%


ผลไม้ที่ชอบ

เสาวรส เสาวรส ชื่อสามัญ  Passion Fruit, Jamaica honey-suckle, Yellow granadilla เสาวรส ชื่อวิทยาศาสตร์  Passiflora edulis Sims จัดอยู่ใ...