เสาวรส
เสาวรส ชื่อสามัญ Passion Fruit, Jamaica honey-suckle, Yellow granadilla
เสาวรส ชื่อวิทยาศาสตร์ Passiflora edulis Sims จัดอยู่ในวงศ์กะทกรก (PASSIFLORACEAE)
เสาวรส (กะทกรกฝรั่ง หรือ กะทกรกสีดา หรือ กะทกรกยักษ์)เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดในแถบทวีปอเมริกาใต้ ผลมีลักษณะกลม ผลอ่อนจะมีสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะมีหลายสีแล้วแต่สายพันธุ์ คือ สีม่วง สีเหลือง สีส้ม ซึ่งในบ้านเรานี้จะปลูกทั้ง 3 สายพันธุ์ โดยในผลเสาวรสนั้นจะมีเมล็ดจำนวนมาก มีกลิ่นคล้ายฝรั่งสุก รสออกเปรี้ยวจัด แต่บางสายพันธุ์จะมีรสออกอมหวานด้วย
สำหรับประโยชน์ของเสาวรสและสรรพคุณของเสาวรสนั้นก็มีมากมายหลายข้อ เพราะเสาวรสอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุรวมอยู่หลายชนิด ซึ่งได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 กรดโฟลิก ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุสังกะสี และคาร์โบไฮเดรต โดยยังมีของแถมนั่นก็คือใยอาหารในปริมาณสูงรวมอยู่ด้วย ซึ่งนิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้สด โดยเสาวรสที่ลักษณะดีนั้นต้องไม่เหี่ยว ผิวต้องเต่งตึง แต่ทั้งนี้ห้ามรับประทานในส่วนของต้นสดเด็ดขาด เพราะมีสารพิษอันตราย อาจทำให้เสียชีวิตได้ รอรับประทานผลอย่างเดียวจะดีกว่า
การใช้ประโยชน์[แก้]
ผลสุกของเสาวรสนำมาทำน้ำผลไม้และไวน์ หรือเติมลงในน้ำผลไม้ชนิดอื่นเพื่อเพิ่มกลิ่น[3]ในทวีปอเมริกาใต้รับประทานเปลือกของเสาวรสสุก หรือนำไปปั่นรวมกับน้ำตาลและน้ำเสาวรสเป็นเครื่องดื่มที่เรียก Refresco นำเนื้อเสาวรสไปทำขนมได้หลายชนิดทั้งเค้ก ไอศกรีม แยม เยลลียอดเสาวรสนำไปแกงหรือกินกับบบน้ำพริกลล เมล็ดนำไปสกัดน้ำมันพืช ทำเนยเทียม เปลือกนำไปสกัดสารเพกทินหรือนำมาตากแห้งเป็นอาหารสัตว์ เปลือกเสาวรสที่อ่อนบางพันธุ์มีสารประกอบไซยาไนต์เล็กน้อยโดยเฉพาะผลสีม่วง แต่เมื่อนำเปลือกมาทำแยมด้วยความร้อนสูง สารประกอบไซยาไนต์จะหายไป [4] การใช้ประโยชน์ในประเทศต่างๆมีดังนี้
- บราซิล มูสเสาวรสเป็นของหวานที่พบได้ทั่วไป เมล็ดเสาวรสนิยมใช้แต่งหน้าเค้ก ในการปรุงCaipirinha นิยมใช้เสาวรสแทนมะนาว
- โคลอมเบีย เป็นผลไม้ที่สำคัญในการทำน้ำผลไม้และขนม เรียกเสาวรสว่า "Maracuyá"
- สาธารณรัฐโดมินิกันเรียกเสาวรสว่า chinola ใช้ทำน้ำผลไม้และใช้แต่งรสไซรับ กินเป็นผลไม้สดกับน้ำตาล
- ฮาวาย ทั้งเสาวรสสีม่วงและสีเหลืองใช้กินเป็นผลไม้ น้ำเชื่อมรสเสาวรสใช้แต่งหน้าน้ำแข็ง ไอศกรีม และใช้เป็นส่วนผสมในเค้ก คุกกี้ แยม เยลลี่ เนย
- อินโดนีเซีย มีเสาวรสสองชนิด คือชนิดสีขาวกับสีเหลือง สีขาวกินเป็นผลไม้ สีเหลืองใช้ทำน้ำผลไม้ และเคียวกับน้ำตาลเป็นไซรับ
- นิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลีย นิยมกินผลสดเป็นอาหารเช้าในช่วงฤดูร้อน เช่นทำฟรุตสลัด เสาวรสใช้ทำขนมหลายอย่าง เช่นแต่งหน้าเค้ก pavlova ไอศกรีม ใช้แต่งรสชีสเค้ก และมีน้ำอัดลมรสเสาวรสในออสเตรเลีย
- ปารากวัย ใช้ทำน้ำผลไม้ ใช้ผสมในเค้กมูส ชีสเค้ก ใช้แต่งรสโยเกิร์ตและคอกเทล
- เม็กซิโก ใช้ทำน้ำผลไม้หรือรับประทานผลกับพริกป่นและน้ำเลมอน
- เปอร์โตริโก เรียกเสาวรสว่า "Parcha" นิยมใช้เป็นยาลดความดัน[5] ใช้ทำน้ำผลไม้ ไอศกรีมหรือเพสตรี
- เปรูใช้เสาวรสทำขนมหลายชนิดรวมทั้งชีสเค้ก ใช้ทำน้ำผลไม้ ผสมใน ceviche และคอกเทล
- ฟิลิปปินส์รับประทานเป็นผลไม้ มีขายทั่วไปแต่ไม่เป็นที่นิยมมาก
- แอฟริกาใต้ เสาวรสรู้จักกันในชื่อ Granadilla ใช้แต่งรสโยเกิร์ต น้ำอัดลม กินเป็นผลไม้หรือใช้แต่งหน้าเค้ก
- ศรีลังกา นิยมดื่มน้ำเสาวรสเป็นน้ำผลไม้ [6]
- สหรัฐอเมริกา ใช้ผสมในน้ำผลไม้ผสม
- เวียดนาม รับประทานเสาวรสปั่นกับน้ำผึ้งและน้ำแข็ง
การกระจายพันธุ์[แก้]
มีการปลูกเสาวรสทางการค้าในหลายประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา นิวซีแลนด์ ประเทศแถบทะเลแคริบเบียน บราซิล โคลอมเบีย โบลิเวียเอกวาดอร์ อินโดนีเซีย เปรู เปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แอฟริกาตะวันออก เม็กซิโก อิสราเอลคอสตาริกา แอฟริกาใต้และโปรตุเกส ในประเทศไทยมีเสาวรสที่ปลูกทั่วไป 3 พันธุ์คือ พันธุ์สีม่วง เมื่อสุกเปลือกสีม่วง เนื้อในสีเหลือง รสอมหวานมากกว่าพันธุ์อื่นๆ แต่ไม่ค่อยต้านทานโรคในเขตร้อน พันธุ์สีเหลืองหรือเสาวรสสีทอง ผลแก่สีเหลือง รสเปรี้ยวมาก นิยมปลูกในเขตร้อน พันธุ์ผสม เมื่อสุกเป็นสีม่วงอมแดง รสเปรี้ยวจัด กลิ่นแรง สามารถปักชำและเสียบยอดได้
การผสมเกสร[แก้]
การผสมเกสรนั้นจะใช้แมลงภู่เพื่อการผสมเกสรในเชิงการค้าในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย และส่วนอื่น ๆ ของ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจาก นี้ ดอกเสาวรส (Passiflora edulis flavicarpa) ถูกค้นพบว่าบานสัมพันธ์กันกับช่วงที่แมลงภู่กำลังแพร่หลาย แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดนี้วิวัฒนาการมาอย่างสัมพันธ์กัน[2]
ประโยชน์ของเสาวรส
- เสาวรส ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
- ช่วยในการชะลอวัย ชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
- ช่วยในการบำรุงสายตา เนื่องจากมีวิตามินเอรวมอยู่ด้วย
- น้ำเสาวรสช่วยให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
- น้ำเสาวรสช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
- มีวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
- มีแคลเซียมซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกเสื่อมและกระดูกหัก
- มีโพแทสเซียมสูง ช่วยให้มีสติปัญญา จิตใจร่าเริงแจ่มใส ด้วยการส่งออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมอง
- มีแมกนีเซียม ซึ่งช่วยในการเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน
- มีฟอสฟอรัสสูง ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง
- นิยมนำมาดื่มเป็นน้ำผลไม้หรือใช้เป็นส่วนผสมในน้ำผลไม้รวม
- ใช้ทำเป็นน้ำผลไม้ปั่น สำหรับวิธีทำน้ําเสาวรส อย่างแรกให้เตรียมเสาวรสที่สุกแล้ว 3 ลูก / น้ำเชื่อมครึ่งถ้วย / เกลือป่นหนึ่งช้อนโต๊ะ / น้ำต้มสุกแช่เย็นหนึ่งถ้วย หลังจากนั้นนำเสาวรสไปล้างให้สะอาดทั้งเปลือก แล้วนำมาผ่าครึ่งตามขวาง แล้วนำช้อนตักเมล็ดเนื้อเสาวรสและน้ำออกให้หมด แล้วนำมาปั่นกับน้ำต้มสุกจนละเอียด แล้วกรองกากและเมล็ดออกด้วยการใช้ผ้าขาวบางหรือกระชอน หลังจากนั้นนำน้ำเสาวรสที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในเครื่องปั่น ใส่น้ำเชื่อม เกลือป่น น้ำแข็งตามลงไปปั่น เสร็จแล้วก็จะได้น้ำเสาวรสฝีมือของเราแล้ว
- นำมาใช้แต่งกลิ่นหรือรสชาติในโยเกิร์ต น้ำอัดลม เป็นต้น
- เนื้อเสาวรสนำไปทำขนมได้หลายชนิด เช่น เค้ก แยม เยลลี ไอศกรีม เป็นต้น

- ใช้นำไปประกอบของหวาน เช่น นำเมล็ดเสาวรสมาใช้แต่งหน้าเค้ก
- ใช้นำมาประกอบอาหาร เช่น การนำยอดเสาวรสไปแกงหรือกินกับน้ำพริก
- เมล็ดของเสาวรสสามารถนำไปสกัดเป็นน้ำมันพืชได้
- ใช้ทำเนยเทียมจากเมล็ดเสาวรส
- ใช้เป็นอาหารสัตว์ ด้วยการนำเปลือกไปสกัดสารเพกทินหรือนำมาตากแห้ง
- เปลือกเสาวรสสามารถนำมาใช้ทำปุ๋ยหมักได้
- ใช้ทำเป็นน้ำมันนวดผ่อนคลาย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการช่วยผ่อนคลายได้ดี
- ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิด เช่น ผลิตภัณฑ์กันแดด ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์รักษาสิว เป็นต้น
- ช่วยในการสมานผิว รักษาเนื้อเยื่อผิวหนัง
- ช่วยปรับสมดุลในร่างกายและลดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
- ที่เปอร์โตริโก นิยมนำเสาวรสมาใช้ในการลดความดันโลหิต
- ช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ช่วยในการฟื้นฟูตับและไตให้มีสุขภาพแข็งแรง
- ช่วยในการกำจัดสารพิษในเลือด
- ช่วยบรรเทาอาการปวด
- ช่วยในการบำรุงปอด
- ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
- ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยรักษาอาการหอบหืด
- ใบสดนำมาใช้พอกแก้หิดได้
- ดอกใช้ขับเสมหะ ช่วยแก้ไอได้
- เมล็ดมีสารที่ทำหน้ายับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ดี

การรักษาที่อาจได้ผล
โรควิตกกังวล การศึกษาบางส่วนพบหลักฐานระบุว่าเสาวรสอาจช่วยบรรเทาโรควิตกกังวล โดยเพิ่มสารสื่อประสาทในสมองที่เรียกว่า กรดแกมมาอะมิโนบิวทีริกหรือกาบา (Gamma-Aminobutyric Acid: GABA) ซึ่งจะลดการทำงานของสมองให้น้อยลง จึงอาจช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ระงับอาการวิตกกังวล และนอนหลับได้ดีขึ้น
จากการศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากเสาวรสเปรียบเทียบกับยาออกซาซีแพม (Ooxazepam) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาอาการวิตกกังวลและคลายเครียดในผู้ป่วยโรคกังวลทั่วไป จำนวน 36 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้รับสารสกัดจากเสาวรส 45 หยดต่อวันควบคู่กับยาหลอกชนิดเม็ด และอีกกลุ่มได้รับยาออกซาซีแพม 30 มิลลิกรัมต่อวันควบคู่กับยาหลอก 45 หยดต่อวัน ผลปรากฏว่า ทั้ง 2 กลุ่มให้ผลดีต่อการรักษาเช่นเดียวกันและไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ กลุ่มที่ได้รับยาออกซาซีแพมอาจให้ผลการรักษาที่รวดเร็วกว่า แต่มักเกิดผลข้างเคียงมากตามมา การศึกษาชี้ว่าสารสกัดจากเสาวรสน่าจะมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับยาออกซาซีแพม และอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคกังวลทั่วไป แต่กลุ่มการทดลองในครั้งนี้ค่อนข้างน้อย ควรทำการศึกษาในกลุ่มการทดลองที่ใหญ่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยอีกชิ้นที่ศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากเสาวรสเปรียบเทียบกับยาหลอกในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัด 60 คน กลับให้ผลในทางตรงกันข้าม โดยให้กลุ่มแรกรับประทานสารสกัดจากเสาวรส 500 มิลลิกรัม และอีกกลุ่มรับประทานยาหลอก ซึ่งการวัดผลจะทำก่อนการทดลองและวัดอีกครั้งหลังรับประทานสารสกัดหรือยาในช่วง 10 นาที 30 นาที 60 นาที และ 90 นาทีถัดมา เพื่อดูฤทธิ์ของสารสกัดจากเสาวรสและความวิตกกังวลในผู้ป่วย ผลพบว่าทั้ง 2 กลุ่มมีผลลัพธ์ในด้านต่าง ๆ คล้ายคลึงกันก่อนเข้ารับการผ่าตัด กลุ่มที่รับประทานสารสกัดจากเสาวรสมีคะแนนด้านความกังวลต่ำกว่ากลุ่มที่รับประทานยาหลอก แต่ไม่พบความแตกต่างในด้านจิตใจอย่างมีนัยสำคัญหลังการผ่าตัด จึงอาจบอกได้ว่าสารสกัดจากเสาวรสอาจไม่ช่วยระงับความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดจากการศึกษาในครั้งนี้
ถอนพิษยาในกลุ่มโอปิเอต (Opiates) โดยปกติแล้วยาโคลนิดีน (Clonidine) ใช้เป็นยารักษาหลักสำหรับถอนพิษหรือบรรเทาอาการของผู้ป่วยที่เกิดจากการขาดยาในกลุ่มโอปิเอตหรือยาแก้ปวดที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย แต่ด้วยข้อจำกัดบางประการและขาดประสิทธิภาพในการควบคุมอาการทางจิตของยาโคลนิดีน จึงมีการค้นคว้าหาวิธีการรักษาใหม่ที่อาจเป็นประโยชน์มากกว่า ซึ่งสารสกัดจากเสาวรสเชื่อกันว่าออกฤทธิ์ต่อสมองและช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวล จึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับใช้บรรเทาอาการของผู้ป่วยที่มีอาการขาดยากลุ่มโอปิเอต
จากการศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากเสาวรสในการรักษาเสริมแก่ผู้ป่วยที่เสพติดยากลุ่มโอปิเอต จำนวน 65 คน เป็นระยะเวลา 14 วัน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับยาโคลนิดีนสูงสุดไม่เกิน 0.8 มิลลิกรัม เสริมด้วยสารสกัดจากเสาวรส จำนวน 60 หยด และอีกกลุ่มได้รับยาโคลนิดีนสูงสุดไม่เกิน 0.8 มิลลิกรัมเช่นกัน เสริมด้วยยาหลอก ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มแบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้ง จากนั้นวัดผลก่อนการได้รับยา วันที่ 1, 2, 3, 4, 7 และวันที่ 14 ผลพบว่าผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มมีอาการแสดงออกทางร่างกายดีขึ้นเหมือนกัน แต่กลุ่มที่ได้รับยาโคลนิดีนควบคู่กับสารสกัดจากเสาวรสมีประสิทธิภาพในบรรเทาอาการทางจิตได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาโคลนิดีนควบคู่กับยาหลอก จึงคาดว่าสารสกัดจากเสาวรสอาจนำมาใช้เป็นการรักษาเสริมในผู้ป่วยที่มีขาดยากลุ่มโอปิเอต ทั้งนี้ กลุ่มผู้ป่วยมีจำนวนน้อยและควรศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ป่วยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยยืนยันผลการรักษาให้แน่ชัด
บรรเทาอาการของโรคทางจิตเวช จัดเป็นกลุ่มโรคใหญ่ที่ประกอบไปด้วยหลายโรค ส่วนใหญ่มักจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และการกระทำ ซึ่งต้องรักษาด้วยการใช้ยาและการบำบัดไปพร้อมกัน แต่การรักษาแผนปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงถึงประสิทธิภาพในการรักษาและความปลอดภัย ทำให้เกิดการแพทย์แผนทางเลือกอื่น ๆ ขึ้นมา รวมถึงการใช้สารสกัดจากเสาวรส
จากการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสารสกัดจากเสาวรสร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นในเด็กอายุ 6-12 ปี จำนวน 115 ที่มีอาการทางจิตเวช เช่น สับสน กระสับกระส่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า ขาดสมาธิ และถูกกระตุ้นได้ง่าย โดยใช้วิธีสังเกตอาการเป็นระยะเวลา 2 ปี ผลพบว่า จากการประเมินของผู้ปกครองระบุว่าเด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสนใจ การเข้าสังคม ภาวะกังวลหรือซึมเศร้า เป็นต้น สำหรับการประเมินโดยแพทย์ลงความเห็นว่าเด็กประมาณ 81.6-93.9% ไม่มีอาการของโรคหรือมีอาการเล็กน้อย จึงคาดว่าสารสกัดจากเสาวรสก็อาจเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นการรักษาเสริมในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคทางจิตเวช
การศึกษาที่ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอต่อการบ่งบอกประสิทธิภาพ
โรคนอนไม่หลับ ด้วยคุณสมบัติทางยาของเสาวรสที่เชื่อว่าช่วยให้รู้สึกสงบ ลดความวิตกกังวล นอนหลับได้ง่ายขึ้น และยังมีผลการทดลองในสัตว์อีกหลายชิ้นที่ระบุว่าอาจมีส่วนช่วยบรรเทาความผิดปกติด้านการนอน ซึ่งจากการศึกษาประสิทธิภาพของชาเสาวรสต่อการนอนในอาสาสมัคร อายุ 18-35 ปี จำนวน 41 คนเป็นระยะเวลา 7 วัน โดยให้ดื่มชาเสาวรสวันละ 1 แก้ว เปรียบเทียบกับยาหลอกในรูปแบบชา จากนั้นมีการตรวจสุขภาพการนอนหลับ ผลพบว่า อาสาสมัครจำนวน 10 คน นอนหลับดีขึ้นและมีคะแนนในการประเมินด้านต่าง ๆ สูงกว่ายาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษานี้แนะนำว่า การดื่มชาเสาวรสที่มีความเข้มข้นไม่มากในระยะเวลาสั้น ๆ อาจช่วยให้ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงนอนหลับได้ง่ายขึ้นและมีคุณภาพในการนอนดีขึ้น แต่ควรมีการศึกษาหรือค้นคว้าเพิ่มเติม เนื่องจากกลุ่มการทดลองในการศึกษาครั้งนี้มีขนาดเล็ก
โรคหอบหืด เสาวรสเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง จึงอาจเป็นผลดีต่อการรักษาและบรรเทาอาการโรคหอบหืด
จากการศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากเปลือกของผลเสาวรสพันธุ์สีม่วงในผู้ป่วยโรคหอบหืดโดยให้รับประทานสารสกัดวันละ 150 มิลลิกรัมต่อวัน เปรียบเทียบกับยาหลอก เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ จากนั้นจึงวัดผลโดยดูจากอาการของผู้ป่วยและการตรวจสมรรถภาพปอด ผลพบว่า ผู้ป่วยในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากเปลือกของผลเสาวรสมีอาการส่วนใหญ่ของโรคลดลงในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับก่อนการทดลอง โดยความถี่ของอาการไอและหายใจหอบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานยาหลอกไม่มีอาการดีขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสมรรถภาพปอดที่เป็นตัวบ่งบอกความรุนแรงของโรคกลับไม่พบการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากเปลือกของผลเสาวรส นอกจากนี้ ยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงจากการศึกษา จึงพอจะคาดเดาได้ว่าสารสกัดจากเสาวรสค่อนข้างปลอดภัยและช่วยบรรเทาอาการจากโรค ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ต้องการรับประทานสารสกัดจากเปลือกของผลเสาวรสควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง และไม่ควรหยุดรับประทานยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะยังเป็นเพียงเป็นทางเลือกในการรักษาที่ยังไม่สามารถสรุปผลได้อย่างชัดเจน
ความปลอดภัยในการรับประทานเสาวรส
การรับประทานเสาวรสในปริมาณปกติที่พบจากในอาหารค่อนข้างมีความปลอดภัย สำหรับการรับประทานในรูปแบบอื่นอย่างชาหรือมีวัตถุประสงค์เพื่อการรักษาโรคควรใช้ติดต่อกันน้อยกว่า 2 เดือน ทั้งนี้ ยังมีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้
- การรับประทานเสาวรสอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ รู้สึกสับสน กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป หลอดเลือดอักเสบ บางรายพบรายงานว่ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ
- การใช้เสาวรสกับผิวหนังยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัย ก่อนการใช้จึงควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
- หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานเสาวรส เนื่องจากสารเคมีบางตัวในเสาวรสอาจทำให้มดลูกหดตัว
- ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงในการรับประทานเสาวรส เพราะยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยเพียงพอหรือหากต้องการรับประทานควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานเสาวรสอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากเสาวรสอาจมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งอาจไประงับฤทธิ์ยาสลบหรือยาตัวอื่นต่อสมองในช่วงผ่าตัดและหลังจากผ่าตัด
คุณค่าทางโภชนาการของเสาวรสต่อ 100 กรัม
- พลังงาน 97 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 23.38 กรัม
- น้ำตาล 11.2 กรัม
- เส้นใย 10.4 กรัม
- ไขมัน 0.7 กรัม
- โปรตีน 2.2 กรัม
- วิตามินเอ 64 ไมโครกรัม 8%
- เบตาแคโรทีน 734 ไมโครกรัม 7%
- วิตามินบี 2 0.13 มิลลิกรัม 11%
- วิตามินบี 3 1.5 มิลลิกรัม 10%
- วิตามินบี 6 0.1 มิลลิกรัม 8%
- วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม 4%
- โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินซี 30 มิลลิกรัม 36%
- วิตามินเค 0.7 ไมโครกรัม 1%
- ธาตุแคลเซียม 12 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุเหล็ก 1.6 มิลลิกรัม 12%
- ธาตุแมกนีเซียม 29 มิลลิกรัม 8%
- ธาตุฟอสฟอรัส 68 มิลลิกรัม 10%
- โพแทสเซียม 348 มิลลิกรัม 7%
- ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม 2%
- ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม 1%